วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ค้างคืนตกปลาบนโป๊ะกลางทะเลที่แหลมฉบัง


 เบ็ดโสก
            หลังจากตกปลาโดยไม่ใช้เหยื่อโดยใช้เบ็ดโสกมาครู่ใหญ่ๆ จนได้ปลามากพอที่จะทำกับแกล้มได้แล้ว ก็ถึงเวลาเข้าครัวโดยพ่อครัวหัวป่าประจำทีมงานของเรา 
เบ็ดโสก
      
 ( อธิบายอีกที เบ็ดโสกหมายถึงเบ็ดที่เป็นพวงๆมีตัวเบ็ดผูกติดกันหลายตัว ที่ตัวเบ็ดมีเส้นด้ายสีใสๆ ผูกเป็นฝอยๆกับตัวเบ็ด เวลาตกก็โสกหรือยกขึ้นและโสกลงหรือหย่อนลง ลักษณะตัวเบ็ดเหมือนในรูปนั่นแหล่ะครับ ดูให้เหมือนนะครับ พยามยามวาดแล้ว )

           


บนโป๊ะนี้ ก็มีเรื่องทำครัวอยู่ค่อนข้างครบครับ ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊ส ถ่าน เตาถ่าน ตระแกรงย่าง
กระทะ หม้อ ถ้วย จานชาม เครื่องปรุงพื้นฐาน(เกลือ น้ำปลา) แถมยังมี"หม้อหุงข้าวไฟฟ้า" อีก อ่ะ ๆ ไม่ต้อง งงครับบนโป๊ะนี้มีเครื่องปั่นไฟอยู่ครับ มีไฟฟ้าใช้ครับ กลางคืนก็เอาไว้ล่อหมึก ล่อปลาไง ไม่นานนักปลาที่หามาได้ก็แปลงสภาพมาเป็นกับแกล้มอย่างที่เห็น

                        

        เมื่อมีกลับแกล้มก็ต้องมีของคู่กัน ก็คือเครื่องดื่มหลากสไตล์ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงชิวๆครับ ใครใคร่ตกก็ตก ใครใคร่ดื่มก็ดื่มครับ
ไม่นานนักตะวันก็ลับตาหายไปกับเส้นขอบฟ้า ราตรีก็เริ่มคืบคลานเข้ามา ก็เป็นเวลาที่ต้องติดเครื่องปั่นไฟแล้วหล่ะครับ                                                                                                                                    
เริ่มเปิดไฟล่อหมึก
 
ตกปลากลางคืน
        หลังจากเปิดเครื่องปั่นไฟ   ก็ต้องเปิดไฟครับ ที่รอบๆโป๊ะจะมีหลอดสีเขียวๆ  ติดอยู่เป็นระยะๆ ครับเพื่อล่อปลา ล่อหมึกเข้าหาโป๊ะให้เราตกได้ง่ายๆไงครับ ส่วนเหยื่อปลอมก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบนึงครับ เป็นแบบสำหรับตกหมึกโดยเฉพาะ วิธีการก็เหมือนกันครับคือยกเบ็ดขึ้นๆ ลงๆ ช้าครับ       

หมึกเล็ก
    
  ไม่นานนักหมึกตัวแรกโดนเราเอาขึ้นมาจากน้ำจนได้ ก็ตื่นเต้นมากอีกเหมือนเคยครับ เพราะนี่คือการตกหมึกครั้งแรกครับ  พอปลดก็โดนดีเข้าครับโดนปล่อยหมึกใส่เต็มหน้าเลยครับ ใครมือใหม่ระวังด้วยเน้อเดี๋ยวหาว่าหล่อไม่เตือน         

       
    มีตัวแรกก็ต้องมีตัวต่อๆ มา เรื่อยๆครับ......
หมึกใหญ่


สักครู่ใหญ่ๆ ก็มีทีมงานซอยหมึกสดพร้อมวาซาบิ มาเสิร์ฟ  เนื้อหวานมากครับ ตรงหนวดๆยังดูดมือดูดลิ้น หนึบๆอยู่เลยครับ อร่อยไปอีกแบบ เป็นกับแกล้มก็แปลกเหมือนกัน


หมึกสดกับวาซาบิ
      เวลาไหลเลย น้ำทะเลก็ไหลลอดโป๊ะไป มองเห็นอะไรขาวๆลอยมานึกว่าถุงขยะ   ดูดีๆจึงว่าไม่ใช่ขยะครับแต่เป็นปูม้า ได้ความรู้ใหม่ครับปูม้าว่ายน้ำได้  (ปกติปูชนิดอื่นๆว่ายน้ำไม่ได้ครับ จะไปไหนมาไหนต้องเดินครับ) ก็ใช้กระชอนตักขึ้นมาครับ ( ลักษณะเป็นสวิงแต่มีด้ามไม้ยาวๆ เลยรียกว่ากระชอนมั้ง ) ได้ปูมาเยอะเหมือนกัน
ปูม้า ถ่ายมือถือมืดหน่อยนะครับ

     ตกไปพักใหญ่ๆทีมงานบอกได้เวลาแล้วก็เริ่มทยอยปิดไฟทีละดวงมาเรื่อยๆจนเหลืออยู่หลอดเดียว  ก็เพื่อให้ปลามารวมกันอยู่ที่เดียวกันแล้วใช้อวนครอบและลากขึ้นมาไงครับ 

ภาพทีมงานกำลังเตรียมอวนไว้ครอบปลา
                 ครอบครั้งแรกก็ได้ขึ้นมานิหน่อยครับ อาจจะเพราะไม่ชำนาญครับ (ครอบเองเพราะไต๋ยังไม่มาช่วยครอบ )
" ตอนแรกเข้าใจว่าหมึกกับปลาต่างๆมาเล่นไฟมาตอมไฟ แต่จริงๆพวกหมึกมากินพวกแพลงก์ตอนหรือสัตว์น้ำตัวเล็กๆครับ ครับ ส่วนหมึกและปลาใหญ่ๆก็จะมากินปลาเล็กๆอีกทีนึงครับ "
                                     " กินกันเป็นทอดๆ ปลาใหญ่กินปลาเล็กไงครับ "

              ตกดึกบางทีมก็แยกย้ายกันไปนอนก่อนครับ บาคนก็ดื่ม บางคนก็ตกปลา ตามอัธยาศัย
ตกดึกค่อนไปทางจะสว่างไต๋ก็ส่งทีมมาช่วยครอบรอบนี้ก็ได้หมึกค่อนข้างเยอะที่เดียว (สำหรับเรานะ) แต่ทีมที่เคยมาบอกว่านี่ได้แค่นิดเดียวเอง   
                                  แต่ได้มากน้อยไม่สำคัญเลยครับสำคัญที่ประสบการณ์ครั้งนี้มากกว่าครับ
รุ่งเช้าแล้ว ก็ได้เวลากลับกันซะทีครับฝากชีวิตไว้กับเรือลำเล็กลำนี้ครับ บ๊าย บายโป๊ะจ๋า ลานะโป๊ะ



เรือรอรับกลับฝั่ง
                   
จวนจะถึงฝั่งแล้ว

      ก็ขอจบทริปตกปลาที่โป๊ะแหลมฉบังเพียงเท่านี้ครับ วันหน้ามีไรจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ









วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทริปตกปลาที่โป๊ะกลางทะเลแหลมฉบัง

ตกปลาทะเลครั้งแรก
   ปกติเคยตกเฉพาะปลาน้ำจืด วันนี้มีนัดกับทีมงานไปตกปลากลางทะเลกัน อันที่จริงก็ตกไม่ค่อยเป็นหรอก ครับ
เตรียมลงเรือไปโป๊ะ
กะจะไปดริ้งซะมากกว่า..ดูสเบียงเอาเองก็แล้วกัน.....เอิ๊กๆ

          11 โมงเช้านัดกับไต๋ที่สะพานปลาแหลมฉบัง ให้รับไปส่งที่โป๊ะกลางทะเล ( ท่าเทียบเรือประมง ใกล้กับ "ร้านอาหารสุดทางรัก" ไงครับ )
กำลังเดินทางด้วยเรือเล็ก
         

      ถึงเวลาก็ทยอยขนของลงเรือและออกเดินทางแล่นเรือไปกลางอ่าว    กับพลพรรค พร้อมด้วยเสบียงอีกค่อนลำ แบบไม่ต้องได้ปลาสักตัวก็ไม่ต้องกลัวอด





เรือเทียบท่าที่สะพานปลา





ปกติเคยเห็นแต่ภาพที่มองออกจากฝั่ง วันนี้ได้เห็นในอีกมุมนึง (มองเข้าฝั่ง)
ภาพที่เห็นก็ค่อนข้างแปลกตาเหมือนกันครับ  สวยงามแปลกตาไม่เบา





เรือจอดทอดสมอ รอออกหาปลาในตอนค่ำ

ออกเรือมาได้ประมาณ 20 นาที ก็เริ่มมองเห็นโป๊ะริบๆ ที่ห่างจากฝั่งประมาณ 3-4 กิโลเมตร

โป๊ะกลางทะเล

หลังจากขนสัมภาระ และเสบียงกรังขึ้นโป๊ะเรียบร้อยก็เริ่มลงมือตกปลากัน  ก็เป็นการตกปลาโดยไม่ได้ใช้เหยื่อครับ โดยใช้เบ็ดเปล่าๆ แต่มีขนฝอยๆติดอยู่ข้างเบ็ดครับ (ไม่รู้ว่าเขาเรียกเหยื่อปลอมหรือเบ็ดเป็นพวงแบบนี้ว่าอะไร ไม่รู้เจรงๆ แบบ มือใหม่ครับ)
อ๋อการตกก็แค่หย่อนเบ็ดลงในน้ำและก็ยกขึ้นลงบ่อยๆ อาศัยลูกขยันเอาครับเขาเรียกว่าตกแบบ "โสก" ครับ โสกขึ้นโสกลง



       สักพักก็มีปลามาติดครับ แปลกใจมากและก็ตื่นเต้นมากเลยครับ เพิ่งเคยโสกครั้งแรกปลาก็ติดพร้อมกันทีเดียวตั้งสองตัว แต่ผู้รู้เขาบอกว่าบางที่ได้เป็นพวงทีละ 4-5 ตัว บางที่ 10 ตัวก็มี แต่ท่ได้ก็แค่สองนี่แหละครับ
         เท่าที่ถามผู้รู้เขาบอกว่าปลามองเห็นเบ็ดกับสายฝอยๆที่ติดกับเบ็ดคล้ายๆปลาเล็กหรือแพล็งต้อน (ไม่รู้สะกดถูกปล่าว) ก็เลยฮุบเบ็ดเข้า   ปลาที่ได้ทีมเขาก็บอกว่าปลาสีขน ปลากุแล ประมาณนี้ (แต่เราไม่รู้เลย ตัวไหนเป็นปลาอะไรบ้าง)


ท่าจะตัวใหญ่ ดูเองนะครับว่าปลาอะไร






เดี๋ยวจะมาเล่าการตกปลาตอนกลางคืนให้ฟังครับ

ไฟผ่าหมาก 2 - อันตรายที่แฝงมากับความอยากปลอดภัย

ไฟผ่าหมาก 2 - อันตรายที่แฝงมากับความอยากปลอดภัย




     หลังจากที่่เรารู้แล้วว่าการเปิดไฟผ่าหมากหรือไฟฉุกเฉินเวลาจะผ่านสี่แยกเป็นเรื่องที่ผิด และไม่ควรทำเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้ว  ยังมีอีกความเข้าใจผิดอย่างเกี่ยวกับไฟผ่าหมากก็คือเปิดเวลาฝนตก

ยิ่งวลาฝนตกหนักๆ ระยะที่มองเห็นก็แค่ปลายกระโปรงรถไปหน่อยเดียว ไฟท้ายคันหน้าก็เห็นแค่มัวๆ
เราก็กลัวคันข้างหลังมองไม่เห็นรถเรา กลัวว่าไฟท้ายจะไม่เพียงพอ ก็เลยเปิดไฟฉุกเฉินหรือไฟผ่าหมากให้รถข้างหลังเห็นชัดๆ
แต่..คุณรู้ไหมครับว่ารถคันข้างหลังเข้าใจยังไง
รถคันหลังเขาเข้าใจว่ารถคนเสียและจอดอยู่ข้างทางเพราะไฟฉุกเฉินเขาใช้ตอนฉุกเฉินตอนรถเสีย เขาก็จะหักออกขวาเพื่อขับแซงขวาคุณขึ้นไปพอคิดว่าแซงพ้นแล้ว เขาก็จะหักเข้าซ้ายเหมือนเดิม(เพราะฝนตกเขาขับช้า ก็เลยจะชิดซ้าย) แต่ช่วงที่หักเข้าซ้ายเขาคิดว่ารถคุณจอดก็เลยเผื่อระยะไม่มากพอ พอหักเข้าซ้าย รถคุณก็วิ่งมาเสยตูดรถเขาโครม
โอ๊ะ โอ....












แล้วไฟฉุกเฉินควรจะใช้ตอนไหน?
ก็ใช้ตอนฉุกเฉินไง กวนโอ้ยอีกละ... ปล่าวครับ ไฟฉุกเฉินเราควรใช้ในกรณีที่เราจำเป็นต้องจอดรถบนถนนหรือไหล่ทาง ไม่ว่าจะเพราะเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย
ในอีกสถานการณ์ที่ใช้ได้คือ เวลาที่รถวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วเจอสิ่งกีดขวาง อย่างมีอุบัติเหตุข้างหน้า จนต้องชะลอความเร็ว เราอาจใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินเพื่อให้รถที่ตามหลังระวังได้ แต่ควรใช้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นครับ.......



วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อันตรายจากไฟผ่าหมาก....เพราะอยากปลอดภัย1


ไฟผ่าหมากคืออะไร

ไฟผ่าหมากก็คือไฟฉุกเฉิน หรือการที่เรากดปุ่มเปิดไฟเลี้ยวให้กระพริบพร้อมกันทั้งสี่หลอดนั่นเอง แต่ทำไมจึงเรียกว่าไฟผ่าหมากนั้นก็ไม่รู้ที่ไปที่มาที่แน่ชัด  แต่ถ้าตาม
ความเข้าใจ ผ่าหมากก็น่าจะมาจากการที่คนขับรถบรรทุกชอบเปิดไฟฉุกเฉินตอนผ่านสี่แยกนั่นเอง


  
                        
 โดยเจตนาก็หวังว่าจะสื่อสาร หรือแจ้งให้รถคันอื่นๆรู้ว่าตัวเองจะ ขับรถตรงไป
 ข้างหน้า ไม่ได้เลี้ยวซ้ายหรือขวาหรือขอทางหน่อยนะ จะขับผ่านตรงไปข้างหน้า 
 คันอื่นจะได้ให้ทาง และจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ

  

แต่หารู้ไม่ว่าการเปิดไฟฉุกเฉินนี้อาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามกับเจตนาของผู้ขับ   และอาจกลับกลายเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้ร่วมใช้เส้นทางท่านอื่นได้ โดยเฉพาะคันที่อยู่ซ้ายมือของเรา




ถ้าเราคือรถ A และเปิดไฟฉุกเฉินรถ B ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของเราก็จะเขาใจผิดคิดว่าเราจะเลี้ยวซ้าย เพราะสิ่งที่รถ B เห็นและเข้าใจก็คือรถ A เปิดไฟเลี้ยวซ้ายและกำลังจะเลี้ยวซ้าย และถ้ารถ B ขับตรงไปก็จะทำให้เจอกันที่กลางสี่แยกพอดี










   "ก็จะเกิดอุบัติเหตุเพราะเข้าใจผิดแทนที่จะปลอดภัยจากไฟผ่าหมากกลับยิ่งเป็นอันตรายกว่าเดิมเสียอีก "

    ดั้งนั้นถ้าเราต้องการไปตรง ก็ไม่ต้องเปิดไฟเลี้ยวใดๆ แค่ชะลอความเร็วระมัดระวังซ้ายขวา ให้รถทางเอกไปก่อนก็คงเพียงพอ    เพราะถ้าคันอื่นไม่เห็นไฟเลี้ยวก็จะรู้โดยอัตโนมัติว่าเราไม่ได้เลี้ยวและจะขับตรงไปนั่นเองครับ.........




วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ที่มาของสำมะปี๋

สำมะปี๋ คำๆนี้ไม่มีคำแปลในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นคำในภาษาอีสาน ซึ่งก็หมายถึง จิปาถะ, มีทุกๆ สิ่ง ทุกๆอย่าง, ผสมผสานปนเปกันไป, มากมายหลายอย่าง, ทั้งหลายทั้งปวง, Many many thing, Everything, สาระพัด สาระพัน , ประมาณนี้

ก็แล้วแต่ใครจะให้นิยามว่ายังไงและจะใช้ตอนไหน คำว่าสำมะปี๋เองก็อาจมีการออกเสียง หรือเขียนกันคนละแบบ เช่น สำมะปิ สำปะปี๋ สัมมะปิ สำปะปี๋ สัพพะปิ ก็แล้วแต่พื้นที่ไหนภูมิภาคใด เด้อ

อีกทั้งยังมีผู้รู้ให้ความหมายว่ารากศัพท์มาจากภาษาบาลี
มาจากคำว่าสัพพปิ = สัพพะ + อปิ
สัพพะ = สรรพ ทุกสิ่ง ทั้งปวง ทั้งหมด
ส่วน ปิ/อปิ = ฝ่าย รวม บ้าง ด้วย แล้ว
รวมๆกันก็น่าจะหมายความว่ารวมทั้งหมด รวมทุกสิ่ง ประมาณนี้

ที่มาจะเป็นยังไงก็แล้วแต่แต่ที่เอามาเป็นชื่อเพราะจะบอกว่าที่นี่ จะมีเรื่องราวหลากหลาย ผสมผสานปนเป กันไปนั่นเอง จ้า